Author Archive: John J. Alvarez

เทคโนโลยี AR/VR แตกต่างเหมือนกัน

ช่วงเวลายุคทองของเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) และ Virtual Reality (VR) ที่นวัตกรรมความเจริญต่าง ๆ ถูกพัฒนาขึ้นมาพร้อม ๆ กัน อาจจะทำให้ใครหลาย ๆ คนสับสนระหว่างเจ้าเทคโนโลยี 2 ตัวนี้ก็เป็นได้ อย่างไรก็ดี AR กับ VR ค่อนข้างมีความเหมือนที่แตกต่างกันอย่างลงตัว แต่ก่อนอื่นเราต้องมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีแต่ละตัวให้ดีซะก่อน

AR คือ การจำลองวัตถุเสมือนขึ้นมาซ้อนทับกับสิ่งแวดล้อมของโลกจริง ซึ่งวัตถุเสมือนนั้นอาจเป็นข้อมูลรูปภาพ 2 หรือ 3 มิติ ข้อมูลวิดีโอหรือตัวอักษรก็ได้ เรียกว่าเป็นการผสมผสานระหว่างโลกเสมือนที่สร้างขึ้นมาจากการใช้จินตนาการเข้าไว้กับโลกที่มีอยู่จริงได้อย่างลงตัว โดยอาศัยหลักการทำงานระหว่างอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น กล้องถ่ายรูป ระบบ GPS กับซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์กราฟิกที่ใช้ในการสร้างฐานข้อมูล AR โดยแสดงผลผ่านอุปกรณ์ง่าย ๆ เช่น สมาร์ทโฟน

ในขณะที่ VR คือการจำลองภาพเสมือนทั้งโลกให้อยู่ในรูปแบบภาพเคลื่อนไหว 360 องศา เป็นการพาผู้ใช้งานไปสัมผัสประสบการณ์อีกโลกหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ว่าโลกนั้นจะเป็นโลกที่ถูกจินตนาการขึ้นมาหรือเป็นสภาพแวดล้อมที่มีอยู่บนโลกจริงก็ตาม VR จะกระตุ้นให้ผู้ใช้งานมีการรับรู้ความรู้สึกร่วมและตอบสนองไปกับสัมผัสต่าง ๆ ของโลกเสมือนที่ถูกสร้างขึ้นผ่านอุปกรณ์ 2 ส่วน คือส่วนแสดงภาพ เช่น จอภาพสวมศีรษะ (Head Mounted Display: HMD) ที่มีลักษณะเป็นหน้าจอมอนิเตอร์ที่รับภาพจากโลกเสมือน และส่วนรับแรงป้อนกลับ เช่น ถุงมือ เมาส์ และคทา 3 มิติ เป็นต้น

ข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างเทคโนโลยี VR และ AR คือ VR ทำให้ผู้ใช้งานตัดขาดตัวเองออกจากสภาพแวดล้อมปัจจุบันที่ผู้ใช้งานอยู่เข้าไปท่องในโลกเสมือนอย่างเต็มรูปแบบ ในขณะที่ AR ทำตรงกันข้าม คือ สร้างวัตถุเสมือนที่ไม่ได้มีอยู่จริงขึ้นมา แล้วให้วัตถุเสมือนนั้นออกมาโลดแล่นราวกับมีตัวตนอยู่บนโลกจริง นอกจากนี้อุปกรณ์จำเป็นที่ต้องใช้ในเทคโนโลยี AR กับ VR ก็มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ VR เป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างต้องใช้อุปกรณ์ที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อนและมีราคาแพงมากกว่าเทคโนโลยี AR ที่มีเพียงแค่แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนก็สามารถที่จะแสดงผลออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว

แต่อย่างไรก็ดีปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่เหมือนกันจนแทบจะแยกไม่ออกของเทคโนโลยี 2 ตัวนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องที่ว่า ทั้ง AR และ VR จะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมต่าง ๆ ของผู้ใช้งานให้มีทางเลือกในการใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับชีวิตตนเองเพิ่มมากขึ้น โดยทั้ง AR และ VR ต่างก็เป็นเทคโนโลยีที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ต่อยอดเข้ากับการทำงานในหลากหลายสาขาอาชีพ ไม่จะเป็นในด้านการศึกษา การแพทย์ การท่องเที่ยว การทหาร หรือการโฆษณา เป็นต้น

คุณรู้จักกับ เทคโนโลยี AR ดีแค่ไหน

วัยรุ่นหลายคนที่เป็นสาวกเกมมือถือ คงมีน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกับแอปพลิเคชันเกมที่มีชื่อว่า Pokemon Go เนื่องจากในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เกมนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งถ้าหากวิเคราะห์กันให้ดีแล้วจะพบว่าที่เกมนี้ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายก็คงเป็นผลมาจากความแปลกใหม่ที่จับต้องได้ ที่ผู้ผลิตใส่มาในแอปพลิเคชัน ความแปลกใหม่ที่ว่านี้คงหนีไม่พ้นการที่ตัวโปเกมอนในเกมสามารถที่จะออกมาอยู่ซ้อนทับกับสถานที่จริงได้ ราวกับว่าเจ้าโปเกมอนพวกนั้นมีตัวตนอยู่จริง ๆ แล้วอะไรกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จที่ส่งให้เกมนี้ได้รับความนิยมไปไกลทั่วโลก คำตอบก็คงเป็นการนำเอาเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า “Augmented Reality” หรือที่เรียกกันย่อ ๆ ว่า AR มาประยุกต์ใช้กับแอปพลิเคชันนี้นั่นเอง

AR เป็นเทคโนโลยีที่ใครหลาย ๆ คน คงเคยได้ยินได้ฟังผ่านหูมา คำถามก็คือ แล้วคุณรู้จักกับเจ้าเทคโนโลยีนี้ดีมากน้อยแค่ไหน เทคโนโลยี AR เป็นการจำลองเอาวัตถุเสมือนเข้าไปซ้อนทับไว้ในโลกแห่งความเป็นจริงราวกับเป็นภาพเดียวกัน โดยวัตถุเหล่านั้นอาจแสดงอยู่ในรูปภาพ 2 หรือ 3 มิติ วิดีโอหรือข้อความต่าง ๆ ทั้งนี้วัตถุเสมือนจริงพวกนี้จะถูกจำลองและจัดทำขึ้นผ่านซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ก่อนจะนำมาบรรจุเป็นฐานข้อมูลไว้ในแอปพลิเคชันต่าง ๆ เพื่อรอการใช้งานต่อไป

การแสดงข้อมูล AR จะต้องแสดงผลผ่านอุปกรณ์ที่พกพาได้สะดวกและสามารถรองรับข้อมูลวัตถุเสมือนได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องเป็นอุปกรณ์ที่มีกล้องถ่ายรูปติดตั้งอยู่ด้วย เช่น มือถือ แท็บเล็ต หรือแว่นตาอัจฉริยะ เพราะกล้องเปรียบเสมือนกุญแจไขไปสู่ข้อมูลต่าง ๆ ที่ถูกจัดเก็บไว้ เปรียบเหมือนดวงตาที่ทำให้เรามองเห็นข้อมูล AR ของโลกทั้งใบที่ถูกสร้างไว้

หลักการทำงานของเทคโนโลยี AR

ในปี ค.ศ. 2004 เทคโนโลยี AR ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยถูกจัดอยู่ในหมวดงานวิจัยที่เกี่ยวกับวิทยาการทางด้านคอมพิวเตอร์ โดยอาศัยหลักการทำงานที่เกี่ยวข้องกันระหว่างอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น กล้องถ่ายรูป ระบบกำหนดตำแหน่งภูมิศาสตร์ (GPS) กับซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการสร้างฐานข้อมูล ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเห็นวัตถุเสมือน เช่น ภาพ 3 มิติลอยอยู่บนพื้นที่ที่สนใจได้ และไม่เพียงแค่ภาพนิ่งเท่านั้นแต่เทคโนโลยี AR ยังสามารถทำให้วัตถุเสมือนนั้นเคลื่อนไหวได้ราวกับมีชีวิตอยู่จริง สร้างความน่าสนใจและความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างมาก

หลักการทำงานของเทคโนโลยี AR สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ

  • Marker – Based หรือ หลักการจดจำภาพ (Image Recognition) โดยข้อมูล AR จะถูกจัดเก็บไว้ในรูปแบบของเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ที่ติดอยู่บนสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นพับ ใบปลิว หรือสินค้า เช่น QR code และ Barcode เป็นต้น  และเมื่อใดที่มีการสแกนข้อมูลเหล่านั้นผ่านกล้อง ซอฟต์แวร์ของแอปพลิเคชันก็จะทำการจดจำภาพและแสดงผลข้อมูลดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์นั้น ๆ
  • Location – Based  หรือ Position – Based ในกรณีนี้เพียงแค่มีการติดตั้งแอปพลิเคชัน AR Location-Based ไว้ที่อุปกรณ์ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้งานส่องกล้องไปที่สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ในอุปกรณ์จะทำการตรวจจับตำแหน่ง GPS แล้วประมวลผลว่าสถานที่ดังกล่าวคือสถานที่ใด จากนั้นจึงแสดงข้อมูลดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับสถานที่นั้น ๆ ซ้อนทับลงบนหน้าจอแสดงผลทันที

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR

ด้วยคุณประโยชน์อันมากมายของเทคโนโลยี AR ทำให้มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ในงานหลากหลายด้าน เช่น

  • วิศวกรของ BMW จัดทำข้อมูล AR เกี่ยวกับขั้นตอนและเครื่องมือที่ใช้ในการประกอบรถยนต์มาใช้ในการอบรม เพื่อให้พนักงานมีความเข้าใจข้อมูลงานต่าง ๆ ที่ค่อนข้างมีความละเอียด ซับซ้อน และมีมูลค่าสูงอย่างลึกซึ้ง
  • IKEA ประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AR ในการจัดทำแอปพลิเคชันเพื่อจำลองการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ตามที่ลูกค้าต้องการ เพื่ออำนวยความสะดวกและทำให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจสูงสุดจากการบริการ
  • รายการทีวี Fox Sports ของอเมริกา นำ AR มาใช้ในการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬาอเมริกันฟุตบอล โดยมีการ ซ้อนทับข้อมูลสถิติการแข่งขันและเปรียบเทียบตำแหน่งผู้เล่นในแต่ละทีม เป็นภาพ 3 มิติขนาดใหญ่แสดงอยู่บนหน้าจอ
  • นวัตกรรมทางการแพทย์มีการนำเอาเทคโนโลยี AR มาประยุกต์ใช้ในการผ่าตัด เพื่อให้คนไข้หรือญาติสามารถเห็นถึงตำแหน่งเนื้องอกที่อยู่บนอวัยวะของคนไข้ได้แบบ Real-time  

โลกเสมือนจริงที่เหมือนจนแทบแยกไม่ออก

“โลกเสมือนจริง” เป็นเทคโนโลยีที่มาแรงมากในโลกที่มีการแข่งขันกันพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนในสังคมให้มีความพึงพอใจสูงสุด เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual Reality) หรือที่ได้ยินกันคุ้นหูว่า VR คือ การจำลองภาพของสิ่งแวดล้อมทั้งที่มีอยู่จริงบนโลก และสิ่งแวดล้อมที่ถูกจินตนาการขึ้นมารวมเข้าไว้ด้วยกันอยู่ในโลกจำลองโลกหนึ่ง โลกที่ถูกสร้างขึ้นโดยนวัตกรรมของซอร์ฟแวร์คอมพิวเตอร์ผสมผสานกับเทคโนโลยีภาพ 3 มิติ และวิดีโอ ผ่านการรับรู้ด้วยสัมผัสต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยิน การได้สัมผัส หรือการได้กลิ่น ซึ่งผู้ใช้งานจะเหมือนถูกดึงเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่โลกความเป็นจริง โดยเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ คือ เพื่อมุ่งเน้นให้ผู้ใช้งานมีความรู้สึกร่วมไปกับภาพจากโลกเสมือนจริงอย่างเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด มากจนแทบจะแยกไม่ออกว่าอันไหนโลกจริง อันไหนคือโลกที่ถูกสร้างขึ้นมา

อุปกรณ์จำเป็นเพื่อเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริง

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงมุ่งเน้นให้ผู้ใช้งานสามารถรับรู้ความรู้สึกจากโลกที่ถูกจำลองขึ้นมาให้เหมือนกับว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังนั้นจึงต้องมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถรับรู้ความรู้สึกต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน โดยอุปกรณ์ของ VR สามารถแบ่งแยกได้เป็น 2 ส่วน คือ “ส่วนแสดงภาพ” และส่วนที่เรียกว่า “แรงป้อนกลับ” ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรับรู้ความรู้สึกจากการมีปฏิสัมพันธ์ของตนเองกับเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อมในโลกเสมือนจริงได้ โดยอุปกรณ์ส่วนแสดงภาพ ได้แก่อุปกรณ์ที่เรียกว่า จอภาพสวมศีรษะ (Head Mounted Display: HMD) อันประกอบไปด้วยหน้าจอมอนิเตอร์ที่ใช้แสดงภาพของโลกจำลองที่ถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์กราฟิก ส่วนอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ส่งและรับแรงป้อนกลับ ได้แก่ ถุงมือ 3 มิติ เมาส์ 3 มิติ หรือคทา 3 มิติ เป็นต้น โดยอุปกรณ์พวกนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนจริงและช่วยให้รับรู้ถึงแรงป้อนกลับจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกเสมือนจริงได้ เช่น การออกแรงง้างลูกธนู และความสั่นสะเทือนที่เกิดจากการยิงลูกธนูออกไป เป็นต้น ซึ่งอุปกรณ์ทั้ง 2 ส่วนนี้สามารถเชื่อมต่อกับระบบคอมพิวเตอร์ได้ทั้งแบบที่ใช้สายส่งข้อมูล และแบบไร้สาย

ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง

เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง เป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์อย่างมากต่อผู้คนในสังคม เห็นได้จากการนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปต่อยอดประยุกต์ใช้งานในหลากหลายด้าน ได้แก่

  • ด้านความบันเทิง สามารถนำเทคโนโลยี VR ไปเพิ่มความสนุกสนานและความสมจริงให้กับเรื่องราวในเกมได้
  • ด้านการแพทย์ ช่วยในเรื่องของการลดความผิดพลาดจากการวินิจฉัยโรค และเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาล หรือการจำลองการฝึกการผ่าตัดต่าง ๆ
  • ด้านการศึกษา ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจในเรื่องที่เรียนได้อย่างลึกซึ้ง และสามารถฝึกหัดการใช้ทักษะที่ได้จากการเรียนรู้ในสถานการณ์จริง เช่น ทักษะการสนทนาภาษาอังกฤษ
  • ด้านการตลาด ช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพของการบริการ อย่างเช่น การตกแต่งภายในเพื่อประกอบการตัดสินใจได้
  • ด้านการทหาร ช่วยจำลองการฝึกทักษะทางทหารในสถานการณ์จริงได้ รวมถึงจำลองการฝึกบินของทหารอากาศได้

ข้อจำกัดของเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง

แน่นอนว่าเทคโนโลยีทุกชนิดที่ถูกพัฒนาขึ้น ภายใต้ประโยชน์ที่มากมายมหาศาลก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีข้อจำกัดของเทคโนโลยีอยู่บ้าง ด้วยความที่เทคโนโลยีโลกเสมือนจริงจำเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรซอร์ฟแวร์คอมพิวเตอร์เพื่อผลิตภาพ 3 มิติที่มีความละเอียดและมีความสมจริงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้งานได้อย่างสูงสุด ส่งผลให้อุปกรณ์ที่จำเป็นต่าง ๆ มีราคาแพงมาก หากเทียบกับกำลังซื้อของผู้ใช้งานทั่วไป อีกทั้งเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างมีความสลับซับซ้อน บุคคลที่มีความรู้เพียงเบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้อาจมีความรู้ไม่เพียงพอที่จะสามารถใช้งานอุปกรณ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดได้

เทคโนโลยีคำสั่งเสียง เรื่องใกล้ตัวที่ควรรู้

หากกล่าวถึงโลกของเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคสมัยนี้ คงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอีกต่อไป หากเราออกเดินไปบนท้องถนนแล้วพบกับใครบางคนที่กำลังทำท่าเหมือนคุยอยู่กับใครอีกคนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่มีเขาผู้นั้นยืนอยู่เพียงลำพัง เทคโนโลยีคำสั่งเสียงเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของคนในสังคมเพิ่มมากขึ้น ทุกวันนี้หากใครมี Smartphone อยู่กับตัวก็คงอาจจะเคยทดลองใช้งานคำสั่งเสียงอย่างแอปพลิเคชันที่ชื่อว่า SIRI หรือ Google Assistant กันมาไม่มากก็น้อย

เทคโนโลยีคำสั่งเสียง เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้มนุษย์สามารถพูดคุยสั่งงานกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้ ผ่านการจดจำเสียง หลักการเบื้องต้นทั่วไปของการใช้งานคำสั่งเสียง เริ่มจากผู้ใช้งานเข้าไปตั้งค่าให้อุปกรณ์จดจำน้ำเสียงของตนเอง จากนั้นทุกครั้งที่มีการพูดคุยหรือสั่งงานกับอุปกรณ์ที่ถูกตั้งค่าให้จดจำน้ำเสียงนั้น ๆ ไว้ ก็จะเกิดการประมวลผลและตอบสนองต่อคำสั่งที่ได้รับ โดยเทคโนโลยีคำสั่งเสียงประกอบไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า Deep Learning ซึ่งจะทำหน้าที่รับคำสั่งเสียงที่ได้มาแปลงเป็นตัวอักษรเพื่อให้อัลกอริทึมของระบบนำข้อมูลนี้ไปแปลงเป็นภาษาที่ทำให้อุปกรณ์เข้าใจแล้วสามารถสนองตอบต่อความต้องการของผู้ใช้งานได้ โดยกระบวนการทั้งหมดนี้เรียกว่า กระบวนการประมวลผลทางภาษา (Natural Language Processing: NLP)

ในยุคของโลกดิจิทัลได้มีการนำเอาเทคโนโลยี Internet of Things เข้ามามีบทบาทต่อการสั่งงานระหว่างผู้ใช้งานกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีคำสั่งเสียงก็ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับเทคโนโลยี Internet of Things เหล่านี้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสั่งงานด้วยคำสั่งเสียงกับเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ รถยนต์ เป็นต้น ด้วยความก้าวหน้าของการพัฒนาเทคโนโลยีคำสั่งเสียงนี้ ส่งผลให้มนุษย์สะดวกสบายมากยิ่งขึ้นเพราะมีผลการวิจัยกล่าวว่าการใช้คำสั่งเสียงช่วยให้สมองของมนุษย์ลดภาระการทำงานไปได้ในระดับหนึ่ง และนอกจากนี้ยังช่วยลดการใช้งานของสายตาจากการจ้องมองหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ มากเกินไป

จากประโยชน์ต่าง ๆ ที่กล่าวมาทำให้ทราบว่าเทคโนโลยีคำสั่งเสียงมีข้อดีมากมาย แต่ถึงอย่างนั้นข้อด้อยก็มีมากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมภายนอกอาจทำให้อุปกรณ์ไม่สามารถเข้าใจคำสั่งเสียงได้ในทันที อาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการประมวลผลนานพอสมควร นอกจากนี้ระยะทางจากแหล่งกำเนิดเสียงของผู้ใช้งานกับตัวอุปกรณ์ยังมีผลค่อนข้างมาก เนื่องจากหากระยะทางไกลเกินไปคำสั่งเสียงที่อุปกรณ์ได้รับอาจไม่ชัดเจนและในบางครั้งคำสั่งอาจไม่เป็นส่วนตัวและเสียงอาจรบกวนผู้คนรอบข้างได้ และที่สำคัญระบบภาษาที่อุปกรณ์สามารถรองรับได้ก็เป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยซึ่งมีภาษาที่ค่อนข้างยุ่งยากสลับซับซ้อนต่อการประมวลผล จึงอาจทำให้การสื่อสารกับกับอุปกรณ์ยังเป็นไปได้ไม่ดีเท่าที่ควร

แต่ถึงอย่างไรก็ตามเทคโนโลยีคำสั่งเสียงนี้ก็ยังคงถูกพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง เป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไปและจะเข้ามามีบทบาทต่อผู้ใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ และเชื่อว่าไม่ช้าในอนาคตอันใกล้เทคโนโลยีนี้จะเข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้งานไปตลอดกาล

ท่องโลกกว้างเพียงปลายนิ้วกับ Google Street View

ในโลกของการแข่งขันทุกวันนี้ เชื่อว่าใครหลาย ๆ คน อาจจะหมดเวลาไปกับการทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำ เพื่อหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตนเองและส่งเสียครอบครัวที่อยู่ข้างหลัง ทุ่มเวลาไปกับการทำงานจนไม่มีแม้กระทั่งเวลาส่วนตัว แต่นั่นก็ไม่ใช่คนทั้งหมดของสังคมที่เป็นเช่นนั้น เพราะยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่รู้จักจัดสรรเวลา สะสางการงานที่คั่งค้างเพื่อหาเวลาไปพักผ่อนหย่อนใจกับคนรักและครอบครัวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ อย่างไรก็ตามด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในสมัยนี้ เป็นเรื่องง่ายที่ต่อให้คนบ้างานขนาดไหนก็สามารถออกไปท่องโลกกว้างได้ เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัสกับแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า “Google Maps”

เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักหรือไม่เคยใช้ Google Maps แอปพลิเคชันที่ใช้สำหรับนำทางซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในยุคโลกดิจิทัล แต่จะมีซักกี่คนที่ทราบว่านอกจากฟีเจอร์การระบุพิกัดตำแหน่งภูมิศาสตร์ การนำทาง และการบันทึกสถานที่ที่ไปเยือนมาแล้วนั้น สิ่งที่มีประโยชน์ไม่แพ้กันต่อนักท่องเที่ยวอีกฟีเจอร์หนึ่ง ก็คือ “Google Street View”

ฟีเจอร์ Google Street View ของ Google Maps ให้บริการภาพถ่ายพาโนรามามุมมอง 360 องศา ของสถานที่ที่ผู้ใช้งานสนใจ ฟีเจอร์นี้ไม่เพียงให้บริการภาพถ่ายบนท้องถนนแต่ยังรวมไปถึงภาพถ่ายบนภูเขา ภาพถ่ายทั้งภายในและภายนอกอาคารของสถานที่สำคัญหรือสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น สวนสนุก พิพิธภัณฑ์ หรือแม้แต่ในสนามกีฬา โดยข้อมูลภาพถ่ายที่เก็บได้จะถูกบันทึกผ่านกล้องถ่ายภาพที่ถูกติดตั้งไว้ที่รถยนต์เก็บข้อมูลของ Google Maps หรืออุปกรณ์เก็บข้อมูลอื่น ๆ เช่น กระเป๋ากล้อง รถเข็นกล้อง หรือรถเลื่อนหิมะ เป็นต้น

เทคโนโลยี Google Street View ได้ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.2007 โดยในระยะเริ่มแรกนั้นภาพถ่ายที่ให้บริการมีเพียงภาพถ่ายสองข้างทางของถนนหนทางต่าง ๆ ในประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น จนกระทั่งมีการขยายการเก็บฐานข้อมูลภาพถ่ายไปมากกว่า 30 ประเทศทั่วโลก และประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยรถยนต์ติดกล้องของ Google Maps เริ่มเก็บข้อมูลภาพถ่ายสำหรับทำเป็นฐานข้อมูล Street View ของประเทศไทยในปี ค.ศ.2011 เริ่มจากการเก็บข้อมูลภาพถ่ายตามจังหวัดใหญ่ ๆ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต จนในที่สุดประเทศไทยก็มีฐานข้อมูลภาพถ่าย Street View ครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยความร่วมมือกันระหว่าง Google Maps และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งประเทศไทย

สำหรับใครหลายคนที่ไม่มีเวลาออกไปท่องเที่ยวด้วยตนเอง เทคโนโลยี Google Street View จาก Google Maps ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจที่จะทำให้เพื่อน ๆ ไม่พลาดความสวยงามของโลกใบนี้ แค่มีอุปกรณ์ที่สามารถใช้งานแอปพลิเคชันนี้เชื่อมต่อกับสัญญาณอินเทอร์เน็ต เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ต เพียงเท่านี้เพื่อน ๆ ก็สามารถออกไปท่องโลกกว้างทั้งในและต่างประเทศได้แค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส

จะดีแค่ไหนหากจับโลกทั้งใบอยู่ในมือเราได้

โลกเราทุกวันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในสังคม  เรียกได้ว่าเกี่ยวข้องตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับตาลงในแต่ละวัน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีนำมาซึ่งความสะดวกสบายของมนุษย์ในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การคมนาคม หรือแม้แต่ในเรื่องของสุขภาพ และสิ่งที่ทำให้เทคโนโลยีต่าง ๆ ถูกพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเข้าถึงผู้ใช้งานได้อย่างหลากหลายเป้าหมาย นั่นก็คือระบบอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีที่ชื่อว่า “Internet of Things”

แนวคิดในเรื่องของ Internet of Things (IoT) ถูกคิดค้นขึ้นในปี ค.ศ.1999 ที่มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of technology โดย Kevin Ashton ซึ่งใจความสำคัญหลักของแนวคิดนี้ คือ การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกอย่างสามารถเชื่อมโยงเข้ากับโลกอินเทอร์เน็ต สามารถพูดคุย สื่อสารหรือสั่งงานระหว่างอุปกรณ์หนึ่งไปยังอีกหลาย ๆ อุปกรณ์ ได้ภายใต้การควบคุมสั่งการของมนุษย์ผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายหรือที่เรียกกันว่า Wireless ยกตัวอย่างเช่น การสั่งเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านผ่านโทรศัพท์มือถือ การติดตามอัตราการเต้นของชีพจรขณะวิ่ง รวมทั้งการติดตามเส้นทางที่ใช้ในการวิ่ง การสั่งงานเปิด-ปิดประตูทางเข้าบ้าน หรือการสั่งเปิด-ปิดรถยนต์จากระยะไกล เป็นต้น

ข้อดีก็คือ มนุษย์จะได้รับความสะดวกสบายในการที่สามารจะตอบสนองความต้องการของตนเองได้เพียงแค่สั่งการผ่าน Smart Device จากที่ใด มุมไหนเวลาใดของโลกก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ นาฬิกาข้อมือดิจิทอล หรือเครื่องมือสื่อสารอื่น ๆ เป็นต้น โดยตัวแปรสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพก็ประกอบไปด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าในประเทศที่มีความก้าวหน้าในเรื่องความรวดเร็วของสัญญาณอินเทอร์เน็ตก็จะมีความได้เปรียบในส่วนนี้ นอกจากระบบอินเทอร์เน็ตแล้ว เทคโนโลยีนี้ยังต้องอาศัยระบบ Sensor ต่าง ๆ จำนวนมากที่จะถูกติดตั้งอยู่กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ยิ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนั้น ๆ เล็กมากเท่าไหร่ Sensor ที่จะถูกนำไปติดตั้งก็จะต้องมีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กและมีระยะเวลาใช้งานได้ยาวนานเพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานมากเท่านั้น เพื่อให้เครื่องมือเหล่านั้นเก็บบันทึกข้อมูลตลอดระยะเวลาที่ต้องการและประมวลผลเพื่อให้สามารถตอบสนองคำสั่งการของผู้ใช้งานได้จากในระยะไกล

อย่างไรก็ดีทุกเทคโนโลยีย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะการใช้เทคโนโลยีผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับความเสี่ยงจากการถูกโจรกรรมข้อมูลสำคัญ ๆ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อผู้ใช้งาน ดังนั้นความปลอดภัยของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็นไม่น้อยไปกว่าการมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้ได้มาตรฐานและรองรับความต้องการอันหลากหลายของผู้บริโภคได้  และในอนาคตหากเมื่อใดก็ตามที่เทคโนโลยีนี้ถูกพัฒนาไปจนถึงขีดสุดพร้อม ๆ กับความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของข้อมูลของผู้ใช้งาน เมื่อนั้นความสะดวกสบายต่าง ๆ ที่จะตามมาก็คงไม่ต่างจากโลกทั้งใบอยู่ในมือเรา

หมดยุคของการเอาเชือกรัดแผลงูกัด หรือห้ามเลือด ด้วยเทคโนโลยีการรัดแผล S.T.A.T

                ทุกคนคงจะเคยเรียนมาตั้งแต่เราเป็นเด็กว่า ถ้าโดนงูกัดตรงไหนของร่างกาย ให้เอาเชือกหรือหาอะไรมารัดด้านบนของแผลที่โดนงูกัดไว้ เพื่อไม่ให้พิษของงูนั้นเข้าสู่ร่างกายได้ รวมไปถึงการเอาเชือกรัดด้านบนแผลเพื่อห้ามเลือด ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นวิธีที่ใช้ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเหล่านี้ แต่เชือกที่นำมา หรือสิ่งที่นำมามัดนั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับใช้งานในด้านของการแพทย์โดยตรง อีกทั้งถ้าคนช่วยปฐมพยาบาลไม่ได้ความรู้ที่จะรัดให้ถูกวิธี ก็อาจจะไม่ช่วยอะไร บางทีอาจจะทำให้แย่ลงไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ในตอนนี้ ได้มีเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า S.T.AT. ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ในกรณีการเกิดอุบัติเหตุลักษณะนี้โดยเฉพาะ ในอนาคตอาจจะเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีติดบ้านกันไว้เลยทีเดียว

Zip Line ช่วยชีวิต อุปกรณ์สำหรับห้ามเลือดยุค 2018

                เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนที่จะพาไปส่งโรงพยาบาลนั่นก็คือการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ซึ่งถือว่ามีผลมากต่อการรักษา เพราะเป็นวิธีการช่วยดูแลจัดการกับแผลที่เกิดขึ้นเท่าที่ทำได้ ก่อนที่จะไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล และถ้าพูดถึงเรื่องของแผลที่มีเลือดออกมาก หรือเป็นแผลติดพิษจากสัตว์ร้ายต่าง ๆ ขั้นตอนการปฐมพยาบาลที่ทุกคนคงจะทราบกันอยู่แล้ว นั่นก็คือการรัดแผลเพื่อห้ามเลือด และกันพิษเข้าสู่ร่างกาย แต่ยังไม่มีอุปกรณ์ไหนที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้ในกรณีแบบนี้ จนตอนนี้ได้มี Zip Line S.T.A.T ผลิตออกมาจำหน่าย

S.T.A.T เป็น Zip Line ที่มีไว้ใช้สำหรับการห้ามเลือดและการกันพิษที่จะกระจายเข้าร่างกาย โดยฟังดูแล้วอาจจะไม่แปลกใจว่ามันน่าสนใจอย่างไร แต่จริง ๆ แล้ว เจ้า S.T.A.T นั้นสามารถรัดอวัยวะเพื่อห้ามเลือดและกันพิษได้อย่างรวดเร็วเพียงไม่ถึง 2 วินาที โดยได้มีการทดลองถึงแรงบีบของมัน ที่สามารถรัดจนเปิดช่องโหว่ของเส้นเลือดได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งมีวิธีการใช้ที่ง่ายดายมาก ๆ เพียงแค่ครอบส่วนที่ต้องการรัดเอาไว้ และล็อกไว้กับตัวล็อกเหมือน Zip Line ทั่วไป เป็นอันเสร็จ จากนั้น เมื่อทำการล็อกเสร็จ เราสามารถกดปุ่ม timer ที่อยู่ตรงตัวของมันได้ เพื่อทำการจับเวลาแบบอัตโนมัติ ให้เรารู้ว่าเราได้ทำการรัดไปเป็นเวลาเท่าไรแล้ว ไว้ใช้เป็นข้อมูลให้แพทย์ทางโรงพยาบาลทราบได้ นอกจากนี้เจ้า S.T.A.T. ยังมีความแข็งแรงมาก ขนาดที่นำค้อนมาถุบ ยังไม่มีส่วนใดบุบสลายเลย เรียกได้ว่าไม่มีวันขาด และคงทนมาก ๆ อีกด้วย

อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่สามารถรู้ได้ทันเวลา แต่สิ่งที่เราทำได้คือคอยป้องกันไม่ให้เกิด แต่ถ้ามันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องหาวิธีรับมือกับมันอย่างดีที่สุด Zip Line S.T.A.T. เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการช่วยปฐมพยาบาลให้ถูกวิธี และมีประสิทธิภาพที่น่ามีเก็บไว้ในยุคนี้ทุกบ้าน

 

YouTubeKids เปิดให้ใช้บริการแล้ว แอปวิดีโอสำหรับเด็กที่ผู้ใหญ่ควบคุมได้

                YouTube เว็บไซต์และแอปพลิเคชันที่ดังและมีผู้ใช้งานอยู่ทั่วโลก เรียกได้ว่าคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก YouTube ในตอนนี้ นอกจากจะมีคลิปวิดีโอต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน และหลากหลายประเภทให้คนได้เข้าไปรับชม คนที่เข้าเป็นคนอัปโหลดวิดีโอ และเปิดช่อง YouTube เป็นของตัวเอง ทาง YouTube จะมีการจ่ายค่าตอบแทนให้ ทำให้มีกลายเป็นอาชีพขึ้นมาเรียกว่า YouTuber หรือ Content Creator นั่นเอง

จริงอยู่ที่ YouTube กลายเป็นช่องทางที่สำคัญในโลกโซเชียลที่จะให้คนมากมายได้เข้ามาดูเนื้อหา รวมไปถึงศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนเองสนใจในรูปแบบของวิดีโอ แต่สำหรับครอบครัวไหนที่มีเด็กเล็กและปล่อยให้เลือกคลิปดูเอง ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เนื่องจากความหลากหลายของ YouTube ซึ่งมีทั้งเหมาะสำหรับเด็ก และไม่เหมาะสำหรับเด็ก ทำให้ถ้าเด็กเป็นคนควบคุมการดูของตัวเอง อาจจะเผลอไปดูอะไรที่มีความไม่เหมาะและเป็นผลเสียต่อเด็กเป็นไปได้

ประโยชน์ของ YouTubeKids ช่องทางที่เหมาะสมสำหรับเด็ก และความสัมพันธ์ในครอบครัวยุค 4.0

ในยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยี แม้แต่เด็กที่อายุไม่กี่ขวบ ก็มีความสามารถที่จะใช้งานได้สมาร์ทโฟนได้สบาย ๆ และยิ่งพ่อกับแม่หลายคนไม่มีเวลาที่จะดูแลลูกด้วยแล้ว จึงตัดสินใจปล่อยลูกไว้กับ YouTube เพียงลำพัง แต่ตอนนี้ผู้ปกครองสามารถหมดห่วงได้เลย เนื่องจากทาง YouTube Thailand ได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการในการเปิด YouTube Kids ได้สามารถดาวน์โหลดไปใช้งานได้แล้ว

ซึ่ง YouTube เล็งเห็นถึงความสำคัญเหล่านี้ YouTube จึงทำแยก content ปกติ ออกจาก content ของเด็กอย่างสิ้นเชิง ทำให้หมดห่วงเรื่องของการที่เด็กจะมีโอกาสเข้าไปดู content หรืออะไรที่เกินวัยมากเกินไป และนอกจากนี้ ยังเพิ่มความสะดวกสบายให้กับพ่อแม่มากขึ้น โดยไม่ว่าลูกจะเข้าไปดูคลิปอะไร และมันจะโยงไปต่อที่คลิปไหน ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่ามันจะมี content ไหนที่ไม่เหมาะกับเด็กเล็ก หรือมีความไม่เหมาะสม ซึ่งช่องต่าง ๆ ที่จะถูกนำเข้ามาในนี้จะเป็น content ที่เหมาะสำหรับเด็กเล็กล้วน ๆ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน การศึกษา รายการเด็ก หรือจะเป็น เน็ตไอดอลที่เป็นเด็ก เช่น ช่องของเด็กจิ๋ว เก๋ไก๋สไลเดอร์ around the dell หรือ 108 life เป็นต้น ซึ่งตอนนี้มีให้โหลดใช้งานกันได้แล้ว ทั้งในระบบ iOS และ Android

แต่ถึงแม้ว่าจะมีช่องทางสำหรับเด็กที่แยกออกมาเป็นส่วนตัวแล้ว การที่จะทิ้งลูกเอาไว้กับโทรศัพท์ตลอดเวลาก็ยังคงเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องสักเท่าไร ทางที่ดีพ่อแม่ควรจะหาเวลามาเล่นกับลูก ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากขึ้น เนื่องจากยุคนี้เป็นยุคของเทคโนโลยีที่เราต่างคนก็ต่างหากกันมากขึ้น ดังนั้นควรจะแบ่งเวลาให้ดี เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวด้วย จึงจะเหมาะสมที่สุด

 

เสียบปลั๊กในห้องน้ำได้โดยไม่ต้องกลัวอะไร เทคโนโลยีปลั๊กไฟกันน้ำได้ 100 เปอร์เซ็นต์

                หลายคนอาจจะมีประสบการณ์ที่จำฝังใจตั้งแต่เด็ก ๆ เกี่ยวกับเรื่องของการโดนไฟดูด อาจจะเป็นเพราะกระแสไฟฟ้ารั่วไหล หรือมีเรื่องของน้ำเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทุกคนทราบกันดีว่าน้ำกับไฟฟ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องแยกให้ห่างกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้เลย

แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่พึ่งจะเปิดตัวมาไม่นานมานี้ ทำให้เราไม่ต้องเป็นห่วงหรือเป็นกังวลเรื่องกระแสไฟฟ้ากับน้ำอีกต่อไป เพราะได้มีการพัฒนาปลั๊กไฟ ที่สามารถโดนน้ำได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือสามารถที่จะใช้งานในน้ำได้เลย โดยไม่มีกระแสไฟไหลออกมา 100 เปอร์เซ็นต์

ปลั๊กไฟกันน้ำที่น่าสนใจ โปรดใช้วิจารณญาณก่อนนำมาใช้

                 เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากปีนึงมีคนเสียชีวิตจากการโดนไฟช็อตไปจำนวนไม่น้อย ดังนั้นเรื่องของการใช้งานไฟฟ้าเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างมาก ยิ่งเป็นเด็กเล็ก หรือคนชราด้วยแล้ว ยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ รวมไปถึงบ้านคนหรือโรงแรมหลายที่ในตอนนี้เริ่มมีปลั๊กไฟไว้ในห้องน้ำ อาจจะไว้ใช้เสียบไดร์เป่าผม หรืออาจจะไว้ใช้ชาร์จแบตโทรศัพท์ ซึ่งแน่นอนว่าคนจำนวนมากในตอนนี้นำเอาโทรศัพท์เข้าไปเล่นในห้องน้ำด้วย

จากปัญหาที่กล่าวมาเหล่านี้ ยิ่งทำให้เรื่องไฟฟ้ากับน้ำเป็นที่น่ากังวลขึ้นไปอีก แต่ปัญหาเหล่านี้อาจจะหมดไปด้วยปลั๊กไฟกันน้ำ ที่ถูกผลิตขึ้นและจดสิทธิบัตรให้ใช้งานได้สิบประเทศแล้ว ซึ่งคุณสมบัติของมันก็คือมันสามารถที่จะกันน้ำได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำที่กระเด็นใส่ หรือจะนำปลั๊กลงไปใช้งานใต้น้ำ ก็สามารถใช้งานได้โดยที่น้ำไม่หลุดเข้าไปในปลั๊กเลยแม้แต่นิดเดียว ซึ่งได้พิสูจน์จากการทดลองของทางทีมผู้พัฒนาไปเรียบร้อยแล้วด้วยสองวิธี หนึ่งคือการน้ำปลั๊กไฟที่ไว้เสียบ และหลอดไฟแก้ว ลงไปเสียบใต้น้ำด้วยมือเปล่า โดยผลที่ได้ก็คือหลอดไฟติดสว่างได้ตามปกติใต้น้ำ โดยที่คนที่ทำการเสียบปลั๊กไฟใต้น้ำไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย ต่อมาคือการเสียบปลั๊กในห้องน้ำไว้ จากนั้นทำการใช้ฝักบัวฉีดน้ำอัดตัวปลั๊กไฟไว้ ซึ่งการทำงานของมันก็ไม่มีปัญหา ไม่มีกระแสไฟฟ้ารั่วออกมาแม้แต่นิดเดียว ถือเป็นการพิสูจน์ได้ว่ามันสามารถที่จะกันการรั่วซึมของน้ำได้

แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีคนสันนิษฐานว่าน้ำที่ใช้ในการทดลองนั้น อาจจะเป็นน้ำกลั่นที่ไม่ได้เป็นน้ำที่นำไฟฟ้าแบบปกติหรือเปล่า ซึ่งในข้อนี้เราก็ยังไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ที่แท้จริงได้ ดังนั้นเราควรที่จะรอให้เทคโนโลยีตัวนี้นิ่งกว่านี้ และออกมามีการยอมรับที่แน่นอนกว่านี้ก่อนที่จะหาซื้อมาใช้งานกันจะดีกว่า เนื่องจากเป็นเรื่องของความปลอดภัยของชีวิต จึงไม่คุ้มที่จะเสี่ยงในตอนนี้ แต่คงจะอีกไม่นานเกินรอแน่นอน

 

เด็กยุคใหม่ ใส่ใจการเขียนโค้ด พร้อมด้วยคฑาเวทมนตร์ร่ายโค้ดอัจฉริยะ

                ยุคของเทคโนโลยีที่สิ่งรอบตัวของเราเกือบทั้งหมดเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และทำงานได้อย่างอัตโนมัติ มีแนวโน้มที่จะถูกพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีขีดจำกัด โดยคนรุ่นต่อ ๆ ไป ดังนั้นหลักความรู้พื้นฐานหรือสิ่งที่จำเป็นในขั้นแรกของการพัฒนาสิ่งเหล่านี้นั่นก็คือ การเขียนโค้ดภาษาคอมพิวเตอร์นั่นเอง

ในตอนนี้มีหลายโรงเรียนทั้งประถมและมัธยม เริ่มให้ความสำคัญกับวิชาคอมพิวเตอร์หรือ coding กันมากขึ้น เพื่อให้เด็กมีความรู้ความสามารถในแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยี หลายที่นำมาเป็นวิชาเลือก และหลายที่นำมาเป็นวิชาบังคับ เป็นอีกแนวทางที่ให้เด็ก ๆ เลือกเส้นทางความชอบต่าง ๆ เหมือนกับเรื่องของศิลปะ กีฬา หรือ ความสามารถด้านอื่น ๆ แต่การที่เด็กใช้เวลาไปกับการนั่งเขียนโค้ดอยู่ที่หน้าจอมือถือหรือคอมพิวเตอร์มาก ๆ นั้น อาจจะทำให้พัฒนาการของตัวเด็กนั้นไม่มีประสิทธิภาพที่มากพอ จึงมีตัวช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ศึกษาเรื่องของการเขียนโค้ดและได้เสริมสร้างจินตนาการอีกด้วย นั่นก็คือ คฑาโค้ดเวทมนตร์จากหนังพ่อมดสุดฮิตอย่าง Harry Potter

คฑาวิเศษจากหนังดัง สู่การพัฒนาและสร้างเสริมความรู้และจินตนาการ

                Harry Potter หนังพ่อมดและเวทมนตร์ชื่อดังที่ไม่มีใครไม่รู้จัก ซึ่งในตัวหนังนั้นจะอุปกรณ์หรืออาวุธที่เหล่านักเวทย์ใช้กัน นั่นก็คือคฑาวิเศษที่ไว้ใช้ร่ายคาถาและเวทมนตร์ต่าง ๆ ได้ และเป็นหนังที่เด็ก ๆ หลายคนมีความชื่นชอบ จึงทำให้มีการนำเอาคฑาจากในหนังเรื่อง Harry Potter นั้นมาทำเป็นอุปกรณ์การเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็คือการเขียนโค้ดนั่นเอง

โดยปกติแล้ว การเขียนโค้ดจำเป็นต้องใช้การฝึกฝนและความชำนาญในด้านของการคิดตรรกะ หรือ logic เพื่อคิดค้นหาวิธีการทำงานของตัวโปรแกรม และสร้างมันด้วยการเขียนโค้ดหรือคำสั่งต่าง ๆ ดังนั้นเด็ก ๆ จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลา และการฝึกฝนทั้งการเรียนรู้ Syntax นั่นก็คือวิธีการเขียนภาษาต่าง ๆ และเรียนรู้เรื่องของการคิดตรรกะอีกด้วย ซึ่งในบางครั้งอาจจะดูยากเกินไป และน่าเบื่อบ้างในบางที รวมไปถึงเด็ก ๆ จะไม่ค่อยได้ทักษะในด้านความคิดสร้างสรรค์ที่มากพอ เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการเขียนโค้ด ไม้คฑาอันนี้จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยในการแก้ปัญหา โดยคฑาอันนี้จะทำงานคู่ไปกับแอปพลิเคชันของเจ้าตัวคฑาเอง ซึ่งวิธีการใช้งานก็คือในตัวไม้คฑาจะมีการใส่เซ็นเซอร์ไว้ตรวจจับการแกว่งของไม้ และให้ตัวแอปพลิเคชันเป็นการออกแบบตัว output หรือ ผลลัพธ์จากการแกว่งไม้ โดยให้เด็ก ๆ นำวงจรและ Syntax ต่าง ๆ มาออกแบบให้กลายเป็นผลลัพธ์ที่ตนเองต้องการ หลังจากนั้นก็ทำการแกว่งไม้คฑาได้เลย ผลลัพธ์จะถูกแสดงขึ้นบนหน้าจอของสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต เช่น เขียนโค้ดหรือนำวงจรมาต่อกันเพื่อเสกให้มีขนนกออกมา และให้ขนนกเคลื่อนไหวตามการแกว่งของไม้คฑา เป็นต้น

เป็นอุปกรณ์ที่นอกจากจะเพิ่มความสนุกสนานในการเรียนรู้เรื่องของการเขียนโค้ดแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างทักษะความคิดสร้างสรรค์ และการคิดออกแบบการทำงานของตัวโปรแกรมเป็นภาพที่เข้าใจง่ายอีกด้วย สำหรับเด็ก ๆ คนไหนที่สนใจในเรื่องของการเขียนโค้ดน่าจะลองนำมาใช้งานกัน